วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ความรู้เกี่ยวกับระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์


ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ 



    ความหมายของคำว่า "ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System ) GIS"

    ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ หรือ Geographic Information System : GIS คือกระบวนการทำงานเกี่ยวกับข้อมูลในเชิงพื้นที่ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ที่ใช้กำหนดข้อมูลและสารสนเทศ ที่มีความสัมพันธ์กับตำแหน่งในเชิงพื้นที่ เช่น ที่อยู่ บ้านเลขที่ สัมพันธ์กับตำแหน่งในแผนที่ ตำแหน่ง เส้นรุ้ง เส้นแวง ข้อมูลและแผนที่ใน GIS เป็นระบบข้อมูลสารสนเทศที่อยู่ในรูปของตารางข้อมูล และฐานข้อมูลที่มีส่วนสัมพันธ์กับข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) ซึ่งรูปแบบและความสัมพันธ์ของข้อมูลเชิงพื้นที่ทั้งหลาย จะสามารถนำมาวิเคราะห์ด้วย GIS และทำให้สื่อความหมายในเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่สัมพันธ์กับเวลาได้ เช่น การแพร่ขยายของโรคระบาด การเคลื่อนย้าย ถิ่นฐาน การบุกรุกทำลาย การเปลี่ยนแปลงของการใช้พื้นที่ ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้ เมื่อปรากฏบนแผนที่ทำให้สามารถแปลและสื่อความหมาย ใช้งานได้ง่าย

    GIS เป็นระบบข้อมูลข่าวสารที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ แต่สามารถแปลความหมายเชื่อมโยงกับสภาพภูมิศาสตร์อื่นๆ สภาพท้องที่ สภาพการทำงานของระบบสัมพันธ์กับสัดส่วนระยะทางและพื้นที่จริงบนแผนที่ ข้อแตกต่างระหว่าง GIS กับ MIS นั้นสามารถพิจารณาได้จากลักษณะของข้อมูล คือ ข้อมูลที่จัดเก็บใน GIS มีลักษณะเป็นข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) ที่แสดงในรูปของภาพ (graphic) แผนที่ (map) ที่เชื่อมโยงกับข้อมูลเชิงบรรยาย (Attribute Data) หรือฐานข้อมูล (Database)การเชื่อมโยงข้อมูลทั้งสองประเภทเข้าด้วยกัน จะทำให้ผู้ใช้สามารถที่จะแสดงข้อมูลทั้งสองประเภทได้พร้อมๆ กัน เช่นสามารถจะค้นหาตำแหน่งของจุดตรวจวัดควันดำ - ควันขาวได้โดยการระบุชื่อจุดตรวจ หรือในทางตรงกันข้าม สามารถที่จะสอบถามรายละเอียดของ จุดตรวจจากตำแหน่งที่เลือกขึ้นมา ซึ่งจะต่างจาก MIS ที่แสดง ภาพเพียงอย่างเดียว โดยจะขาดการเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงกับรูปภาพนั้น เช่นใน CAD (Computer Aid Design) จะเป็นภาพเพียงอย่างเดียว แต่แผนที่ใน GIS จะมีความสัมพันธ์กับตำแหน่งในเชิงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ คือค่าพิกัดที่แน่นอน ข้อมูลใน GIS ทั้งข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูลเชิงบรรยาย สามารถอ้างอิงถึงตำแหน่งที่มีอยู่จริงบนพื้นโลกได้โดยอาศัยระบบพิกัดทางภูมิศาสตร์ (Geocode) ซึ่งจะสามารถอ้างอิงได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ข้อมูลใน GIS ที่อ้างอิงกับพื้นผิวโลกโดยตรง หมายถึง ข้อมูลที่มีค่าพิกัดหรือมีตำแหน่งจริงบนพื้นโลกหรือในแผนที่ เช่น ตำแหน่งอาคาร ถนน ฯลฯ สำหรับข้อมูล GIS ที่จะอ้างอิงกับข้อมูลบนพื้นโลกได้โดยทางอ้อมได้แก่ ข้อมูลของบ้าน(รวมถึงบ้านเลขที่ ซอย เขต แขวง จังหวัด และรหัสไปรษณีย์) โดยจากข้อมูลที่อยู่ เราสามารถทราบได้ว่าบ้านหลังนี้มีตำแหน่งอยู่ ณ ที่ใดบนพื้นโลก เนื่องจากบ้านทุกหลังจะมีที่อยู่ไม่ซ้ำกัน


ย้อนกลับ

ความรู้เกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการผลิต


การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการผลิต



Computer Aided Manufacturing (CAM) หรือ คอมพิวเตอร์ช่วยในการผลิต

นิยาม (Definition)
CAM เป็นการใช้ซอฟท์แวร์คอมพิวเตอร์ในการควบคุมเครื่องจักร (Machine tool and related machinery) ในกระบวนการผลิตชิ้นงาน และยังหมายถึงการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการวางแผนกระบวนการผลิต (Computer Aided Process Planing)

การประยุกต์ใชงาน CAM (Applications of Computer Aided Manufacturing)
CAM เป็นส่วนที่ช่วยเชื่อมโยงระหว่างจินตนาการของการออกแบบกับการผลิตผลิตภัณฑ์ให้สำเร็จ CAM ช่วยแปลงข้อมูลจาก CAD (Computer Aided Design) ไปสู่ข้อมูลที่ใช่ในการผลิตชิ้นงานนั้นๆ

ซอฟท์แวร์ CAM จะทำการแปลงข้อมูลของต้นแบบ 3D ที่ได้จากการออกแบบด้วย CAD ให้อยู่ในรูปของโปรแกรมคำสั่งพื้นฐานสำหรับการผลิตหรือ G-code. G-code เป็นภาษาที่ทางเครื่องจักร (Numerical Controlled Machine Tools) สามารถเข้าใจว่าจะต้องทำการผลิตอย่างไร G-code สามารถสั่งให้เครื่องจักรทำงานได้ไม่จำกัดจำนวนชิ้นงานและมีความแม่้นยำสูง ชิ้นงานที่ได้ออกมาจะมีลักษณะเหมือนแบบ 3D จาก CAD ที่ได้ออกแบบไว้

ประโยชน์ของ CAM (Benefits of Computer-Aided Manufacturing)
CAM ช่วยให้กระบวนการผลิตมีความเป็นอัตโนมัติที่ไม่ต้องการคน มันสามารถช่วยลดต้นทุนในการผลิตผลิตภัณฑ์โดยการมีคนควบคุมเข้าไปเกี่ยวข้องน้อยที่สุด

นอกจากนี้ ซอฟแวร์ CAM ยังช่วยตรวจสอบความผิดพลาดของการทำงาน เมื่อมีการขัดข้องสามารถหยุดการทำงานได้อย่างอัตโนมัติ และแจ้งข้อมูลไปยังผู้ควบคุมเครื่องในทางใดทางหนึ่ง CAM ช่วยลดความต้องการในทักษะความสามารถของคนงาน ลดต้นทุนการดำเนินงาน ลดต้นทุนของผลิตภัณฑ์ และสร้างกำไรแก่ผู้ผลิต

ซอฟแวร์ CAM (CAM Software)
นอกจากโปรแกรมอย่าง Unigraphics NX หรือ CATIA ที่สามารถทำได้ดีทั้ง CAD และ CAM ก็ยังมีโปรแกรมที่เน้นไปทาง CAM ก็ คือ EdgeCAM, Master CAM และ SolidCAM เป็นต้น


ย้อนกลับ

ความรู้เกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบ


การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบ




    Computer-Aided Design หรือ CAD คือการนำเอาคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการออกแบบ โดยอาศัยซอฟแวร์ที่สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ ทำให้การออกแบบนั้นทำได้ง่ายและสะดวกขึ้น จุดเริ่มต้นของ CAD นั้นเริ่มมาจากการพัฒนาด้านกราฟฟิคของคอมพิวเตอร์ เมื่อมีการพัฒนาซอฟแวร์ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถสร้างภาพในแบบเวกเตอร์ได้ การพัฒนาซอฟแวร์เพื่อนำมาใช้ทดแทนการเขียนแบบด้วยมือเปล่าบนกระดาษจึงเกิดขึ้น

    จุดเริ่มต้นของ CAD คือการนำมาใช้ในงานเขียนแบบเทคนิคต่างๆเพื่อใช้ในงานอุตสาหกรรม ซึ่งในขณะนั้นต้องการเครื่องมือสำหรับช่วยทำให้การออกแบบนั้นรวดเร็วขึ้น ลดปัญหาของคนงานออกแบบซึ่งไม่เพียงพอ รวมไปถึงการลดข้อจำกัดด้านฝีมือที่มีมาตรฐานต่างกัน ซึ่งก็ได้มีการพัฒนาซอฟแวร์สำหรับเขียนแบบทางวิศวกรรมขึ้นมา และก็ประสบความสำเร็จออกมาเป็นซอฟแวร์หลายๆตัวอย่างที่เรารู้จักกันในเวลานี้ เช่น AutoCAD เป็นต้น

    และด้วยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็วบวกกับความก้าวหน้าทางด้านโปรแกรมมิ่งทำให้ CAD พัฒนาจากรูปแบบเวกเตอร์กราฟฟิค 2มิติ มาเป็นซอฟแวร์ที่สามารถออกแบบเป็น 3มิติ ด้วยเทคนิคการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ให้เป็นภาพกราฟฟิคโมเดล ทำให้การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยออกแบบก้าวหน้าไปอีกขั้นและไม่เพียงแพร่หลายในงานด้านวิศวกรรมเท่านั้น แต่ยังแพร่หลายไปสู่วงการออกแบบทางด้านสถาปัตยกรรม การออกแบบทางด้านศิลปะแขนงอื่นๆอีกมากมาย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือการนำไปใช้ออกแบบเพื่อสร้างสรรค์ผลงานภาพยนต์ การทำ CG อนิเมชั่นต่างๆอย่างที่เราได้เห็นในปัจจุบัน ด้วยเทคนิคการสร้างกราฟฟิคโมเดลในรูปแบบต่างๆ ทั้ง NURBS ,Parametric และอื่นๆ ซึ่งสามารถออกแบบออกในลักษณะ freeform surface ได้ดียิ่งขึ้น

    ข้อดีที่เห็นได้ชัดเจนของซอฟแวร์ประเภท CAD คือการนำมาใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพในการออกแบบ เป็นการช่วยลดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายเพราะการออกแบบด้วยคอมพิวเตอร์สามารถสร้างสรรค์และแก้ไขปัญหาการออกแบบภายในคอมพิวเตอร์ได้รวดเร็วมากกว่าการออกแบบด้วยมือเปล่ามาก อีกทั้งยังมีความแน่นอนไม่ต้องอาศัยฝีมือของคนเขียนแบบมากนัก เพียงแต่อาศัยเครื่องมืออำนวยความสะดวกที่ซอฟแวร์มีมาให้บวกกับจินตนาการก็สามารถผลิตผลงานออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด

     ปัจจุบันไม่เพียงแต่ CAD จะมีบทบาทในวงการออกแบบมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลทำให้ซอฟแวร์สำหรับงานออกแบบทางด้านวิศวกรรมแตกแขนงออกไปมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Computer-aided manufacturing (CAM), Computer-aided engineering (CAE) และ Finite element analysis (FEA) ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ที่ช่วยในการผลิต หรือการใช้คอมพิวเตอร์วิเคราะห์ความแข็งแรง สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้การออกแบบสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆที่เราใช้กันในปัจจุบันมีลักษณะของการใช้งานที่ดีขึ้น มีคุณสมบัติที่ดีขึ้น มีกระบวนการผลิตที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น ทำให้ราคาสินค้าต่ำลง นี่คือประโยชน์ของพัฒนาการของ CADที่ขยายผลไปสู่ซอฟแวร์ช่วยผลิตต่างๆ

    การนำประโยชน์ของ CAD ไปใช้งาน ยังมีอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการนำไปใช้ร่วมกับเครื่องมือผลิตชิ้นงานต้นแบบ rapid prototype การนำไปใช้ร่วมกับเครื่องมืออัตโนมัติในการผลิตอย่าง เครื่องCNC หรือแม้กระทั่งกระบวนการ reverse engineer การแสกนแบบ 3มิติ และต่อๆไปก็ยิ่งจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆเพิ่มเติมขึ้นมาอีกมากมาย การเรียนรู้การใช้งาน CAD software จึงมีความจำเป็นมากในอนาคต


ย้อนกลับ

ความรู้เกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ในการฝึกอบรม


การใช้คอมพิวเตอร์ในการฝึกอบรม



รูปแบบการฝึกตามความสามารถ(CBT)


    เป็นการฝึกที่ส่งเสริมให้ผู้รับการฝึกสามารถฝึกตามพื้นฐานความสามารถของตนในเวลาที่สะดวกและเน้นผลการฝึก (Outcomes) ให้ผู้รับการฝึกมีความสามารถในการปฏิบัติงานตามที่ตลาดแรงงานต้องการ ซึ่งการฝึกในระบบดังกล่าวจึงเป็นรูปแบบการฝึกที่สามารถรองรับการฝึกรายบุคคล (Individualization) โดยเนื้อหาวิชาในหลักสูตรการฝึกตามความสามารถ(Competency Based Curriculum: CBC)ถูกกำหนดจากการวิเคราะห์งาน(Job Analysis) ในแต่ละอาชีพและเป็นความสามารถหรือสมรรถนะ (Competency) ที่ผู้รับการฝึกจำเป็นต้องใช้ในการปฏิบัติงานต่างๆ สอดคล้องกับความต้องการของสถานประกอบกิจการและภาคอุตสาหกรรม จึงเป็นรูปแบบการฝึกที่มีความสำคัญต่อกาiพัฒนาฝีมือแรงงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต

การฝึกตามความสามารถ หรือการฝึกอบรมฐานสมรรถนะ

  มีหลักสำคัญ 2 ประการ
  1. เป็นการฝึกตามความสามารถของผู้รับการฝึก
  2. เป็นการฝึกให้เกิดความสามารถที่สอดคล้องกับการปฏิบัติงานในงานนั้น
     เพราะเนื้อหา ในหลักสูตรที่ใช้ฝึก ได้จากการวิเคราะห์งาน หรือ อาชีพ หรือตำแหน่งงาน ที่ตรงกับการปฏิบัติงาน โดยกำหนดเป็นหน่วยความสามารถ(CU)หรืองานหลัก(Duty)และงานย่อย(Task)หรือความสามารถย่อย(Element)แล้วกำหนดเป็นโมดูลการฝึกและเกณฑ์การประเมิน(Assessment criteria)
ระบบการฝึกตามความสามารถ (CBT) คือ การใช้ความสามารถที่จำเป็นสำหรับการทำงานมาใช้เป็นฐานของการจัดฝึกอบรม หรือนำมากำหนดเป็นหัวข้อวิชาของการฝึกอบรมทำให้ผู้รับการฝึกอบรมมีความสามารถตามหัวข้อวิชานั้น" ดังนั้นการฝึกจึงไม่ยึดเวลาเป็นสำคัญ แต่จะยึดความสามารถและความต้องการของผู้เรียนเป็นหลัก ระยะเวลาในการฝึกที่กำหนดในหลักสูตร ใช้สำหรับการบริหารจัดการฝึก หรือการวางแผนการฝึกเท่านั้น


ย้อนกลับ

ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีมัลติมีเดีย


เทคโนโลยีมัลติมีเดีย



    เนื่องจากมัลติมีเดีย เป็นเทคโนโลยีของสื่อหลากหลายสื่อซึ่งสามารถแบ่งได้ ดังนี้


  • เทคโนโลยีเกี่ยวกับเสียง (Audio Technology) ซึ่งรวมทั้งเสียงพูด และเสียงดนตรี ตั้งแต่การประมวลผล การแสดงผล การจัดการต่างๆ เช่น การบีบอัดสัญญาณ การสื่อสาร การส่งสัญญาณ

  • เทคโนโลยีเกี่ยวกับวีดิโอ (Video Technology) อันได้แก่ การจัดเก็บ การประมวลผล การปรับแต่ง การใช้งาน การเรียกหา สืบค้น การส่งกระจาย มาตรฐานการบีบอัดสัญญาณ การเข้าและถอดรหัส การส่งข้อมูล การทำงานร่วมกับสื่ออื่นๆ


  • เทคโนโลยีรูปภาพ (Image Technology) เป็นการพัฒนา และประยุกต์ใช้ภาพ การจัดการฟอร์แมต คลังภาพ การค้นหา การสร้าง และตกแต่งภาพ


  • เทคโนโลยีข้อความ (Text Technology) เกี่ยวกับข้อความหรือ ตัวอักษร ทั้งการใช้ และลักษณะรูปแบบของ ข้อความแบบต่างๆ


  • เทคโนโลยีภาพเคลื่อนไหว และภาพสามมิติ (Animation & 3D Technology) เป็นเทคโนโลยีเกี่ยวกับการแสดงผล ด้นภาพเคลื่อนไหว ทั้งแบบ 2 มิติ และ 3 มิติ การสร้างภาพเสมือนจริง (VR - Visual Reality) การสร้าง ตกแต่ง ประมวลผล การใช้งาน


  • เทคโนโลยีการพัฒนา (Authoring System Technology) คือ เทคโนโลยีที่ได้พัฒนา เพื่อสร้างเครื่องมือสำหรับ งานพัฒนามัลติมีเดีย ในรูปของ ซอฟต์แวร์ช่วย ในการนำข้อมูล เนื้อหา (Content) เข้าไปเก็บตามสื่อรูปแบบต่างๆ ที่วางไว้ เพื่อนำเสนอ เช่น การใช้เครื่องมือต่างๆ หรือการสร้างเครื่องมือใหม่ๆ

  • เทคโนโลยีกับระบบการศึกษา เป็นการศึกษาเพื่อนำเอา เทคโนโลยีมัลติมีเดีย มาประยุกต์ใช้กับ ระบบการศึกษา ในรูปของ CAI - Computer Aided Instruction, CBT - Computer Based Training ตลอดจนงานประชาสัมพันธ์ โฆษณา สร้างภาพยนตร์


  • เทคโนโลยีการผลิต (Publishing Technology) เป็นการนำเอามัลติมีเดีย มาใช้ด้านงานพิมพ์ เพื่อเพิ่มชีวิตชีวาให้กับงานพิมพ์ มีรูปแบบที่โดดเด่น และนำเสนอ หรือพิมพ์ลงสื่อได้หลากรูปแบบ เช่น งาน DTP - Desktop Publishing, CD-ROM Title & Publishing


  • เทคโนโลยีการกระจาย (Broadcasting & Conferencing) ส่งเกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ข้อมูล เผยแพร่สัญญาณ เช่น Conference, Multicasting Backbone เป็นต้น


  • เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูล (Storage Technology) เนื่องด้วยข้อมูลด้านมัลติมีเดีย มักจะมีขนาดโต ทำให้ต้องเกี่ยวข้องกับสื่อบันทึกข้อมูลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งเกี่ยวกับรูปแบบของสื่อ รูปแบบการบีบอัดข้อมูล รูปแบบการบันทึกข้อมูล


  • เทคโนโลยี WWW & HyperText โดยจะช่วยให้เกิดการเผยแพร่สื่อมัลติมีเดียในรูปแบบที่นิยมมากที่สุด และเร็วที่สุด ผ่านระบบ WWW และมีระบบโต้ตอบด้วยเทคโนโลยี HyperText & HyperMedia


  • เทคโนโลยีคลังข้อมูล (Media Archives) ซึ่งเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลปริมาณมากๆ และการเรียกค้นภายหลัง เช่น Photo & Image Server, AVI archives


เทคโนโลยีที่กล่าวมาข้างต้น เป็นส่วนประกอบที่สำคัญกับเทคโนโลยีมัลติมีเดีย ซึ่งจะช่วยให้เทคโนโลยีมัลติมีเดีย มีคุณค่า


ย้อนกลับ

ความรู้เกี่ยวกับโทรทัศน์ตามสายและผ่านดาวเทียม



โทรทัศน์ตามสายและผ่านดาวเทียม




    ในโลกยุคใหม่ ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่เทคโนโลยีสารสนเทศได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในโลกของการบันเทิง ข่าวสาร และการศึกษาได้อย่างมาก คือเรื่องของโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม

    โทรทัศน์ผ่านดาวเทียม (Satellite television) เป็นโปรแกรมโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดด้วยระบบดาวเทียมเพื่อการสื่อสาร (Communications satellite) ฝ่ายผู้รับจะใช้ระบบจานรับสัญญาณ ซึ่งมักจะมีลักษณะเป็นจานสะท้อนสัญญาณโลหะ (Parabolic reflector) ซึ่งเราเรียกกันว่า จานรับดาวเทียม” (Satellite dish) นอกจากนี้สัญญาณจากจานรับ จะส่งต่อไปยังกล่องรับสัญญาณ (set-top box) หรือเรียกว่า ตัวปรับสัญญาณหรือ Satellite tuner ซึ่งต่อสัญญาณไปยังตัวเครื่องรับโทรทัศน์ (TV set) กล่องรับสัญญาณ (Satellite TV tuners) อาจมีการ์ด (Card) กำหนดสิทธิผู้รับสัญญาณ ในกรณีของการให้บริการโทรทัศน์แบบบอกรับ หรือ สายต่อแบบ USB เชื่อมไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ ในหลายที่ในโลก โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมสามารถให้บริการได้อย่างกว้างขวางหลายช่องสัญญาณ นับเป็นร้อยๆช่อง (Channel) และลักษณะบริการ มีทั้งแบบบอกรับ และแบบไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือน แต่มีรายได้จากโฆษณา หรือการรับบริจาค ส่วนการให้บริการแบบบอกรับนั้น ก็จะมีผู้ให้บริการภาคพื้นดิน หรือผู้ให้บริการผ่านระบบเคเบิลทีวี (Terrestrial or cable providers) เป็นผู้ดำเนินการให้บริการ ดังในประเทศไทย บริษัท TRUE Vision เป็นหนึ่งในบริษัทผู้ให้บริการโทรทัศน์แบบบอกรับ

    โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมมีทั้งสองแบบ คือแบบเก่า เป็นระบบอนาลอก (Analog) ที่ใช้กับโทรทัศน์ตั้งแต่ยุคแรกๆ และระบบใหม่ คือเป็นดิจิตอล (Digital) เป็นระบบแบบเดียวกับคอมพิวเตอร์ ระบบอนาลอกกำลังถูกทดแทนด้วยระบบดิจิตอล ซึ่งจะทำให้ได้ภาพที่คมชัด ใช้ได้ทั้งระบบจอโทรทัศน์และผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ สามารถให้รายละเอียดภาพได้สูง (High-Definition Television – HDTV)

สรุปและเปิดประเด็น

    โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมนั้นมีศักยภาพในการให้บริการอย่างมาก

    ในโลกของประชาธิปไตยยุคใหม่ ฝ่ายการเมืองฐานเศรษฐกิจอาจพยายามเข้ายึดอำนาจรัฐ และเมื่อมีอำนาจรัฐแล้ว ก็สามารถเข้าครอบครองสื่อโทรทัศน์เสรีต่างๆทั้งของรัฐ และสื่อที่ต้องอาศัยสัมปทานจากรัฐ ดังเห็นตัวอย่างในประเทศไทย และประเทศในตะวันออกกลาง ซึ่งท้ายสุดมีการประท้วงเรื่องเสรีภาพ และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศ

    ทางการเมือง (Politics) เพื่อไม่ให้สื่อโทรทัศน์ถูกยึดครองโดยอำนาจผูกขาดไม่ว่าจะเป็นทางการเมืองหรือธุรกิจ จึงต้องมีสื่อที่เปิดกว้างและยากที่จะควบคุมโดยอำนาจใดอำนาจหนึ่ง สื่อโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมมีต้นทุนไม่สูง ฝ่ายการเมืองตรงข้ามรัฐบาลสามารถซื้อบริการได้โดยไม่ยาก ทำให้เป็นการสร้างดุลย์กับสื่อที่รัฐบาลกำกับได้

    ในทางการศึกษา สื่อโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมที่เป็น Digital และให้ความละเอียดของภาพ และคุณภาพสัญญาณที่ดี สามารถนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการศึกษาได้แน่ แต่จำเป็นต้องมีการศึกษายุทธศาสตร์การดำเนินการ (Strategic plan) ซึ่งต้องคิดในประเด็นต่างๆต่อไปนี้

    ในด้านนโยบายรวม (Central policies) รัฐต้องมีนโยบายส่งเสริมโทรทัศน์ดาวเทียมเพื่อการศึกษา ต้องมีการกำหนดแผนแม่บทที่จะสร้างความมั่นใจแก่ผู้ที่จะมามีส่วนร่วม เพราะฝ่ายมาร่วมนั้น ต้องมีการมาลงทุนและลงแรงร่วมด้วย ซึ่งมีความเสี่ยงที่ต้องการหลักประกัน

    ด้านเทคโนโลยี (Technology) จะใช้ดาวเทียมดวงไหน และอย่างไร จึงจะทำให้มีเอกภาพในการให้บริการ ฝ่ายประชาชน โรงเรียน ระบบการศึกษา มีจานรับเพียงจากเดียว กล่องรับสัญญาณเพียงกล่องเดียว แต่ใช้บริการได้อย่างกว้างขวาง

    ด้านรูปแบบการนำเสนอ (Platforms) ตามหลักการแล้ว สามารถทำให้เป็นการสื่อสารสองทาง (Two-way communication) โดยใช้ระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงร่วมด้วยได้ แต่กระนั้นก็จำเป็นที่จะต้องใช้ ดังเช่น ฝ่ายรับฟังหรือชมการบรรยายสามารถส่งคำถามมายังผู้บรรยายได้ หรืออาจทำเป็นบริการแบบ On demand ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตประกอบด้วย คือจัดเป็น VDO Clips เพื่อผู้เรียนสามารถเรียกไปใช้เพื่อการศึกษาได้ตามต้องการในเวลาที่เขามีความเหมาะสม ไม่ต้องรอฟังหรือชมรายการในเวลาเดียวกัน

    ด้านค่าใช้จ่าย (Financial Resources) และการสนับสนุนบริการ จะใช้หลักอย่างไร เพราะจริงๆแล้วไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ทำอย่างไรระบบจึงจะมีทรัพยากรเอาไว้ใช้ และมีเงินสนับสนุนที่จะพัฒนาเนื้อหาสาระและโปรแกรมได้อย่างต่อเนื่อง

    ด้านทรัพยากรคน (Human Resources) เราจะใช้ใครเป็นผู้พัฒนา และใครอยู่ในสถานะที่จะพัฒนาระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด และระบบนั้นไม่นำไปสู่การผูกขาด แล้วท้ายสุดระบบนั้นก็ไม่มีความสามารถในการแข่งขันกันพัฒนา ทำอย่างไรจะส่งเสริมให้มีคนมีความสามารถจำนวนมาก เข้ามาร่วมกันพัฒนาระบบ บางอย่างเปิดเสรีให้มีการแข่งขัน แต่บางอย่างต้องทำให้สามารถร่วมกันพัฒนา และร่วมกันใช้ระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    หากท่านผู้ใดมีแนวคิดที่จะเสนอเพื่อการพัฒนาระบบโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเพื่อการศึกษา ก็ขอให้นำเสนอได้ โดยผ่านทาง Facebook, Blogspot, หรืออื่นๆ เพื่อจะได้มีการเรียนรู้ร่วมกัน


ย้อนกลับ

ความรู้เกี่ยวกับการประชุมทางไกล


การประชุมทางไกล



    การประชุม คือ การปรึกษาหารือ ร่วมกันแสดงความคิดเห็นเพื่อการกำหนดเป็นกฎ กติกา ระเบียบ ข้อบังคับ หรือบรรทัดฐานการปฏิบัติการดำเนินงาน การตัดสินใจแก้ปัญหา ขณะเดียวกันการประชุมก็เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร ประสานสัมพันธ์ระหว่างกันทั้งในระดับบุคคล กลุ่ม องค์การ และระหว่างองค์การ

    Teleconference คือ การประชุมทางไกล คือ การนำเทคโนโลยีสาขาต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายโทรทัศน์ และระบบสื่อสารโทรคมนาคมผสมผสาน เพื่อสนับสนุนในการประชุมให้มีประสิทธิภาพล ให้บริการ Teleconference หรือบริการโทรศัพท์ทางไกลผ่าน ICQ,MSN,Net2phone เป็นต้น

    Video Teleconference หรือการประชุมทางไกล ถูกออกแบบมาเพื่อให้คนหรือกลุ่ม คน ซึ่งอยู่กันคนละสถานที่สามารถติดต่อกันได้ทั้งภาพและเสียง โดย ผ่านทางจอภาพซึ่งอาจเป็นคอมพิวเตอร์หรือโทรทัศน์ ผู้ชมที่ฝั่งหนึ่งจะเห็นภาพของอีกฝั่งหนึ่งปรากฏอยู่บนจอโทรทัศน์ของ ตัวเองและ ภาพของตัวเองก็จะไปปรากฏยังโทรทัศน์ของฝั่งตรงข้ามเช่นเดียวกัน คุณภาพของภาพและเสียงที่ได้จะขึ้นอยู่กับความเร็วของช่องทางสื่อสารที่ ใช้เชื่อมต่อระหว่างทั้งสองฝั่ง



Teleconference มี 3 แบบดังนี้

1. การประชุมทางไกลด้วยเสียงและภาพ (Video Teleconference) ปกติเราเรียกว่า Video Conferencing อุปกรณ์ที่ใช้มี กล้องถ่ายภาพ จอภาพ ตามสถานที่ประชุมเพื่อต้องการเห็นภาพและได้ยินเสียงขณะกำลังประชุม การใช้งานจะต้องมีห้องทำงานของ Video conference เป็นพิเศษ

2.การประชุมทางไกลด้วยเสียง (Audio Teleconference) คือการประชุมระหว่างบุคคลที่อยู่ในสถานที่ห่างไกล โดยการใช้โทรศัพท์ การประชุมแบบนี้ง่ายต่อการใช้งาน เพียงใช้ระบบโทรศัพท์ติดต่อกน คน หรือการใช้โทรศัพท์เป็นกลุ่มก็ได้

3. การประชุมทางไกลด้วยคอมพิวเตอร์ (Computer Teleconference) จะใช้คีย์บอร์ดในการส่งข้อมูลระหว่างผู้ใช้ หรือมีการเชื่อมต่อเทอร์มินอลผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์

อุปกรณ์ที่ต้องมีในระบบ Teleconference

1. จอโทรทัศน์หรือคอมพิวเตอร์

2. ลำโพง

3. ไมโครโฟน

4. กล้อง

5. อุปกรณ์ Codec



    สรุป Teleconference การติดต่อสื่อสารต่างๆ ในปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างล้ำหน้า ทั้งนี้เพื่อให้ได้ข้อมูลต่างๆที่ทันสมัยรวดเร็วตอบสนองต่อความต้องการของธุรกิจประเภทต่างๆได้ และการติดต่อสื่อสารประเภทหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมก็คือ การประชุมทางไกล โดยอาศัยอุปกรณ์สื่อสารสมัยใหม่ การประชุมทางไกลโดยการจัดอุปกรณ์ให้ผู้เข้าร่วมประชุม ซึ่งอยู่คนละสถานที่กันสามารถประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันได้โดยใช้อุปกรณ์ สื่อสาร เราเรียกการประชุมแบบนี้ว่า Teleconference


ย้อนกลับ

ความรู้เกี่ยวกับระบบเครือข่าย


ระบบเครือข่าย



"ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือระบบเน็ตเวิร์ก คือกลุ่มของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ถูกนำมาเชื่อมต่อกันเพื่อให้ผู้ใช้ในเครือข่ายสามารถติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูล และใช้อุปกรณ์ต่างๆ ในเครือข่ายร่วมกันได้" เครือข่ายนั้นมีหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดเล็กที่เชื่อมต่อกันด้วยคอมพิวเตอร์เพียงสองสามเครื่อง เพื่อใช้งานในบ้านหรือในบริษัทเล็กๆ ไปจนถึงเครือข่ายขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกันทั่วโลก ส่วน Home Network หรือเครือข่ายภายในบ้าน ซึ่งเป็นระบบ LAN ( Local Area Network) ที่คุณผู้อ่านจะได้พบต่อไปนี้ เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กๆ หมายถึงการนำเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ มาเชื่อมต่อกันในบ้าน สิ่งที่เกิดตามมาก็คือประโยชน์ในการใช้คอมพิวเตอร์ด้านต่างๆ เช่น

1. การใช้ทรัพยากรร่วมกัน หมายถึง การใช้อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องพิมพ์ร่วมกัน กล่าวคือ มีเครื่องพิมพ์เพียงเครื่องเดียว ทุกคนในเครือข่ายสามารถใช้เครื่องพิมพ์นี้ได้ ทำให้สะดวกและประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่องพิมพ์หลายเครื่อง (นอกจากจะเป็นเครื่องพิม์คนละประเภท)

2. การแชร์ไฟล์ เมื่อคอมพิวเตอร์ถูกติดตั้งเป็นระบบเน็ตเวิร์กแล้ว การใช้ไฟล์ข้อมูลร่วมกันหรือการแลกเปลี่ยนไฟล์ทำได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องอุปกรณ์เก็บข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้นในการโอนย้ายข้อมูลตัดปัญหาเรื่องความจุของสื่อบันทึกไปได้เลย ยกเว้นอุปกรณ์ในการจัดเก็บข้อมูลหลักอย่างฮาร์ดดิสก์ หากพื้นที่เต็มก็คงต้องหามาเพิ่ม

3. การติดต่อสื่อสาร โดยคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเป็นระบบเน็ตเวิร์ก สามารถติดต่อพูดคุยกับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น โดยอาศัยโปรแกรมสื่อสารที่มีความสามารถใช้เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ได้เช่นเดียวกัน หรือการใช้อีเมล์ภายในก่อให้เครือข่าย Home Network หรือ Home Office จะเกิดประโยชน์นี้อีกมากมาย

4. การใช้อินเทอร์เน็ตร่วมกัน คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อในระบบ เน็ตเวิร์ก
สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ทุกเครื่อง โดยมีโมเด็มตัวเดียว ไม่ว่าจะเป็นแบบอนาล็อกหรือแบบดิจิตอลอย่าง ADSL ยอดฮิตในปัจจุบัน

ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร สถาบันการศึกษาและบ้านไปแล้วการใช้ทรัพยากรร่วมกันได้ทั้งไฟล์ เครื่องพิมพ์ ต้องใช้ระบบเครือข่ายเป็นพื้นฐาน ระบบเครือข่ายจะหมายถึง การนำคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปมาเชื่อมต่อกันเพื่อจะทำการแชร์ข้อมูล และทรัพยากรร่วมกัน เช่น ไฟล์ข้อมูลและเครื่องพิมพ์ ระบบเครือข่ายสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ด้วยกันคือ

1. LAN (Local Area Network)
ระบบเครื่องข่ายท้องถิ่น เป็นเน็ตเวิร์กในระยะทางไม่เกิน 10 กิโลเมตร ไม่ต้องใช้โครงข่ายการสื่อสารขององค์การโทรศัพท์ คือจะเป็นระบบเครือข่ายที่อยู่ภายในอาคารเดียวกันหรือต่างอาคาร ในระยะใกล้ๆ

2. MAN (Metropolitan Area Network)
ระบบเครือข่ายเมือง เป็นเน็ตเวิร์กที่จะต้องใช้โครงข่ายการสื่อสารขององค์การโทรศัพท์ หรือการสื่อสารแห่งประเทศไทย เป็นการติดต่อกันในเมือง เช่น เครื่องเวิร์กสเตชั่นอยู่ที่สุขุมวิท มีการติดต่อสื่อสารกับเครื่องเวิร์กสเตชั่นที่บางรัก

3. WAN (Wide Area Network)
ระบบเครือข่ายกว้างไกล หรือเรียกได้ว่าเป็น World Wide ของระบบเน็ตเวิร์ก โดยจะเป็นการสื่อสารในระดับประเทศ ข้ามทวีปหรือทั่วโลก จะต้องใช้มีเดีย(Media) ในการสื่อสารขององค์การโทรศัพท์ หรือการสื่อสารแห่งประเทศไทย (คู่สายโทรศัพท์ dial-up / คู่สายเช่า Leased line / ISDN) (lntegrated Service Digital Network สามารถส่งได้ทั้งข้อมูล เสียง และภาพในเวลาเดียวกัน)

ประเภทของระบบเครือข่าย

Peer To Peer
เป็นระบบที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องบนระบบเครือข่ายมีฐานเท่าเทียมกัน คือทุกเครื่องสามารถจะใช้ไฟล์ในเครื่องอื่นได้ และสามารถให้เครื่องอื่นมาใช้ไฟล์ของตนเองได้เช่นกัน ระบบ Peer To Peer มีการทำงานแบบดิสทริบิวท์(Distributed System) โดยจะกระจายทรัพยากรต่างๆ ไปสู่เวิร์กสเตชั่นอื่นๆ แต่จะมีปัญหาเรื่องการรักษาความปลอดภัย เนื่องจากข้อมูลที่เป้นความลับจะถูกส่งออกไปสู่คอมพิวเตอร์อื่นเช่นกันโปรแกรมที่ทำงานแบบ Peer To Peer คือ Windows for Workgroup และ Personal Netware



Client / Server
เป็นระบบการทำงานแบบ Distributed Processing หรือการประมวลผลแบบกระจาย โดยจะแบ่งการประมวลผลระหว่างเครื่องเซิร์ฟเวอร์กับเครื่องไคลเอ็นต์ แทนที่แอพพลิเคชั่นจะทำงานอย ู่เฉพาะบนเครื่องเซิร์ฟเวอร์ ก็แบ่งการคำนวณของโปรแกรมแอพพลิเคชั่น มาทำงานบนเครื่องไคลเอ็นต์ด้วย และเมื่อใดที่เครื่องไคลเอ็นต์ต้องการผลลัพธ์ของข้อมูลบางส่วน จะมีการเรียกใช้ไปยัง เครื่องเซิร์ฟเวอร์ให้นำเฉพาะข้อมูลบางส่วนเท่านั้นส่งกลับ มาให้เครื่องไคลเอ็นต์เพื่อทำการคำนวณข้อมูลนั้นต่อไป



รูปแบบการเชื่อมต่อของระบบเครือข่าย LAN Topology
ระบบ Bus การเชื่อมต่อแบบบัสจะมีสายหลัก 1 เส้น เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งเซิร์ฟเวอร์ และไคลเอ็นต์ทุกเครื่องจะต้องเชื่อมต่อสายเคเบิ้ลหลักเส้นนี้ โดยเครื่องคอมพิวเตอร์จะถูกมองเป็น Node เมื่อเครื่องไคลเอ็นต์เครื่องที่หนึ่ง (Node A) ต้องการส่งข้อมูลให้กับเครื่องที่สอง (Node C) จะต้องส่งข้อมูล และแอดเดรสของ Node C ลงไปบนบัสสายเคเบิ้ลนี้ เมื่อเครื่องที่ Node C ได้รับข้อมูลแล้วจะนำข้อมูล ไปทำงานต่อทันที



แบบ Ring การเชื่อมต่อแบบวงแหวน เป็นการเชื่อมต่อจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง จนครบวงจร ในการส่งข้อมูลจะส่งออกที่สายสัญญาณวงแหวน โดยจะเป็นการส่งผ่านจากเครื่องหนึ่ง ไปสู่เครื่องหนึ่งจนกว่าจะถึงเครื่องปลายทาง ปัญหาของโครงสร้างแบบนี้คือ ถ้าหากมีสายขาดในส่วนใดจะทำ ให้ไม่สามารถส่งข้อมูลได้ ระบบ Ring มีการใช้งานบนเครื่องตระกูล IBM กันมาก เป็นเครื่องข่าย Token Ring ซึ่งจะใช้รับส่งข้อมูลระหว่างเครื่องมินิหรือเมนเฟรมของ IBM กับเครื่องลูกข่ายบนระบบ



แบบ Star การเชื่อมต่อแบบสตาร์นี้จะใช้อุปกรณ์ Hub เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อ โดยที่ทุกเครื่องจะต้องผ่าน Hub สายเคเบิ้ลที่ใช้ส่วนมากจะเป้น UTP และ Fiber Optic ในการส่งข้อมูล Hub จะเป็นเสมือนตัวทวนสัญญาณ (Repeater) ปัจจุบันมีการใช้ Switch เป็นอุปกรณ์ในการเชื่อมต่อซึ่งมีประสิทธิภาพการทำงานสูงกว่า



แบบ Hybrid เป็นการเชื่อมต่อที่ผสนผสานเครือข่ายย่อยๆ หลายส่วนมารวมเข้าด้วยกัน เช่น นำเอาเครือข่ายระบบ Bus, ระบบ Ring และ ระบบ Star มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน เหมาะสำหรับบางหน่วยงานที่มีเครือข่ายเก่าและใหม่ให้สามารถทำงานร่วมกันได้ ซึ่งระบบ Hybrid Network นี้จะมีโครงสร้างแบบ Hierarchical หรือ Tre ที่มีลำดับชั้นในการทำงาน



เครือข่ายแบบไร้สาย ( Wireless LAN) อีกเครือข่ายที่ใช้เป็นระบบแลน (LAN) ที่ไม่ได้ใช้สายเคเบิลในการเชื่อมต่อ นั่นคือระบบเครือข่ายแบบไร้สาย ทำงานโดยอาศัยคลื่นวิทยุ ในการรับส่งข้อมูล ซึ่งมีประโยชน์ในเรื่องของการไม่ต้องใช้สายเคเบิล เหมาะกับการใช้งานที่ไม่สะดวกในการใช้สายเคเบิล โดยไม่ต้องเจาะผนังหรือเพดานเพื่อวางสาย เพราะคลื่นวิทยุมีคุณสมบัติในการทะลุทะลวงสิ่งกีดขวางอย่าง กำแพง หรือพนังห้องได้ดี แต่ก็ต้องอยู่ในระยะทำการ หากเคลื่อนย้ายคอมพิวเตอร์ไปไกลจากรัศมีก็จะขาดการติดต่อได้ การใช้เครือข่ายแบบไร้สายนี้ สามารถใช้ได้กับคอมพิวเตอร์พีซี และโน๊ตบุ๊ก และต้องใช้การ์ดแลนแบบไร้สายมาติดตั้ง รวมถึงอุปกรณ์ที่เรียกว่า Access Point ซึ่งเป็นอุปกรณ์จ่ายสัญญาณสำหรับระบบเครือข่ายไร้สาย มีหน้าที่รับส่งข้อมูลกับการ์ดแลนแบบไร้สาย


ย้อนกลับ

ความรู้เกี่ยวกับอินเตอร์เน็ต



อินเทอร์เน็ต




อินเทอร์เน็ต(Internet) คืออะไร

อินเทอร์เน็ต(Internet)คือ เครือข่ายนานาชาติ ที่เกิดจากเครือข่ายเล็ก ๆ มากมาย รวมเป็นเครือข่าย เดียวกันทั้งโลก หรือทั้งจักรวาล
อินเทอร์เน็ต(Internet)คือ เครือข่ายสื่อสาร ซึ่งเชื่อมโยงกันระหว่างคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ที่ต้องการเข้ามา ในเครือข่าย
อินเทอร์เน็ต(Internet)คือ การเชื่อมต่อกันระหว่างเครือข่าย
อินเทอร์เน็ต(Internet)คือ เครือข่ายของเครือข่าย (A network of network)
สำหรับคำว่า internet หากแยกศัพท์จะได้ออกมา 2 คำ คือ คำว่า Inter และคำว่า net ซึ่ง Inter หมายถึงระหว่าง หรือท่ามกลาง และคำว่า Net มาจากคำว่า Network หรือเครือข่าย เมื่อนำความหมาย ของทั้ง 2 คำมารวมกัน จึงแปลได้ว่า การเชื่อมต่อกันระหว่างเครือข่าย



ประวัติความเป็นมา

- อินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นโครงการของ ARPAnet(Advanced Research Projects Agency Network) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สังกัด กระทรวงกลาโหม ของสหรัฐ (U.S.Department of Defense - DoD) ถูกก่อตั้ง เมื่อประมาณ ปีค.ศ.1960(พ.ศ.2503) และได้ถูกพัฒนาเรื่อยมา 
- ค.ศ.1969(พ.ศ.2512) ARPA ได้รับทุนสนันสนุน จากหลายฝ่าย ซึ่งหนึ่งในผู้สนับสนุนก็คือ Edward Kenedy และเปลี่ยนชื่อจาก ARPA เป็น DARPA(Defense Advanced Research Projects Agency) พร้อมเปลี่ยนแปลงนโยบายบางอย่าง
และในปีค.ศ.1969(พ.ศ.2512)นี้เองที่ได้ทดลองการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์คนละชนิด จาก 4 แห่ง เข้าหากันเป็นครั้งแรก คือ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย และมหาวิทยาลัยยูทาห์ เครือข่ายทดลองประสบความสำเร็จอย่างมาก ดังนั้นในปีค.ศ.1975(พ.ศ.2518) จึงได้เปลี่ยนจากเครือข่ายทดลอง เป็นเครือข่ายที่ใช้งานจริง ซึ่ง DARPA ได้โอนหน้าที่รับผิดชอบ โดยตรง ให้แก่ หน่วยการสื่อสารของกองทัพสหรัฐ (Defense Communications Agency - ปัจจุบันคือ Defense Informations Systems Agency) แต่ในปัจจุบัน Internet มีคณะทำงานที่รับผิดชอบบริหาร เครือข่ายโดยรวม เช่น ISOC (Internet Society) ดูแลวัตถุประสงค์หลัก, IAB (Internet Architecture Board) พิจารณาอนุมัติมาตรฐานใหม่ในInternet, IETF (Internet Engineering Task Force) พัฒนามาตรฐานที่ใช้กับ Internet ซึ่งเป็นการทำงานโดยอาสาสมัคร ทั้งสิ้น
- ค.ศ.1983(พ.ศ.2526) DARPA ตัดสินใจนำ TCP/IP (Transmission Control Protocal/Internet Protocal) มาใช้กับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบ ทำให้เป็นมาตรฐานของวิธีการติดต่อ ในระบบเครือข่าย Internet จนกระทั่งปัจจุบัน จึงสังเกตุได้ว่า ในเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่จะต่อ internet ได้จะต้องเพิ่ม TCP/IP ลงไปเสมอ เพราะ TCP/IP คือข้อกำหนดที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทั่วโลก ทุก platform คุยกันรู้เรื่อง และสื่อสารกันได้อย่างถูกต้อง
- การกำหนดชื่อโดเมน (Domain Name System) มีขึ้นเมื่อ ค.ศ.1986(พ.ศ.2529) เพื่อสร้างฐานข้อมูล แบบกระจาย (Distribution database) อยู่ในแต่ละเครือข่าย และให้ ISP(Internet Service Provider) ช่วยจัดทำฐานข้อมูลของตนเอง จึงไม่จำเป็นต้องมีฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ เหมือนแต่ก่อน เช่น การเรียกเว็บ www.yonok.ac.th จะไปที่ตรวจสอบว่ามีชื่อนี้ หรือไม่ ที่ www.thnic.co.th ซึ่งมีฐานข้อมูล ของเว็บที่ลงท้ายด้วย th ทั้งหมด เป็นต้น
- DARPA ได้ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลระบบ internet เรื่อยมาจนถึง ค.ศ.1980(พ.ศ.2533) และให้ มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Science Foundation - NSF) เข้ามาดูแลแทนร่วม กับอีกหลายหน่วยงาน
- ในความเป็นจริง ไม่มีใครเป็นเจ้าของ internet และไม่มีใครมีสิทธิขาดแต่เพียงผู้เดียว ในการกำหนดมาตรฐานใหม่ต่าง ๆ ผู้ติดสินว่าสิ่งไหนดี มาตรฐานไหนจะได้รับการยอมรับ คือ ผู้ใช้ ที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก ที่ได้ทดลองใช้มาตรฐานเหล่านั้น และจะใช้ต่อไปหรือไม่เท่านั้น ส่วนมาตรฐานเดิมที่เป็นพื้นฐานของระบบ เช่น TCP/IP หรือ Domain name ก็จะต้องยึดตามนั้นต่อไป เพราะ Internet เป็นระบบกระจายฐานข้อมูล การจะเปลี่ยนแปลงระบบพื้นฐาน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
- ในปัจจุบัน เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ไอที (IT) กำลังได้รับ ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology)จะเป็นตัวที่ทำให้ เกิดความรู้ วิธีการประมวลผล การจัดเก็บรวบรวมข้อมูล การเรียกใช้ข้อมูล ตลอดจนการเรียกใช้ข้อมูล ด้วยวิธีการทางอิเล็คทรอนิคส์ เมื่อเราให้ความสำคัญกับเ ทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) ความจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องมือในการใช้งานไอที เครื่องมือนั้นก็คือเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ สื่อสารโทรคมนาคม อินเตอร์เน็ตนับว่าเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) หรือไอที เพราะเราสามารถที่จะใช้งาน หาข้อมูลข่าวสาร และเข้าถึงข้อมูล ได้ด้วยเวลาอันรวดเร็ว อินเตอร์เน็ตเปรียบเสมือนห้องสมุดขนาดใหญ่ที่มีข้อมูลเรื่องราวต่างๆ มากมาย ให้เราค้นหา ข่าวสารที่ทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลกเราสามารถที่จะทราบได้ทันที จึงนับได้ว่า อินเตอร์เน็ตนั้นเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) ทั้งในระดับองค์กรและในระดับบุคคล  


ย้อนกลับ

ความรู้เกี่ยวกับเส้นใยแก้วนำแสง


เส้นใยแก้วนำแสง



    เส้นใยแก้ว หมายถึง เส้นใยโปร่งแสงทรงกระบอกตันขนาดเล็ก มีเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นใยแก้วทั้งเส้นประมาณ 125 ไมครอน (ไมโครเมตร) หรือ 0.125 มิลลิเมตร โดยทั่วไปวัสดุที่ใช้ทำจะเป็นสารประกอบประเภท ซิลิกา หรือ ซิลิกอนไดออกไซด์ (SiO2) ก็คือแก้วบริสุทธิ์ โดยเนื้อแก้วนี้อาจถูกเจือ (Doped) ด้วยสารหรือวัสดุบางอย่าง ที่จะสามารถควบคุมอัตราการเจือได้ เพื่อที่จะทำให้แก้วมีค่าดรรชนีหักเหของแสง (Refractive index) ตามต้องการ



ข้อดีของเส้นใยแก้วนำแสง

1. มีค่าการลดทอนสัญญาณต่ำ (Low attenuation)
ค่าการลดทอนสัญญาณของเส้นใยแก้วจะมีค่าขึ้นอยู่กับความยาวคลื่นแสงที่ใช้ แต่จะมีค่าน้อยมากถ้าเลือกใช้แสงที่มีความยาวที่เหมาะสม เส้นใยแก้วธรรมดาที่ประกอบด้วยเนื้อแก้วบริสุทธิ์ จะมีค่าการลดทอนสัญญาณต่ำที่ความยาวคลื่นแสงในช่วงของ 1.3 ไมครอน และ 1.55 ไมครอน (จะมีค่าน้อยกว่า 0.2 dB/km) ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องใช้สถานีทวนสัญญาณ (Repeater) จำนวนไม่มาก ระบบสื่อสารด้วยเคเบิลทองแดง จะใช้ Repeater เพื่อทวนสัญญาณ ทุกๆ 2-5 Km ซึ่งระบบสื่อสารด้วยเส้นใยแก้วนำแสง จะใช้ Repeater เพื่อทวนสัญญาณ ประมาณ ทุกๆ 50 Km
2. บรรจุข้อมูลได้เป็นจำนวนมหาศาล
เส้นใยแก้วมีค่าแบนด์วิดท์ (Bandwidth) ในการส่งข้อมูลสูงมาก
3. โครงสร้างของสายเคเบิลมีขนาดเล็กและมีน้ำหนักเบา
4. ราคาถูก
5. เป็นอิสระทางไฟฟ้า (Electrical Isolation)
เนื่องจากเส้นใยแก้วมีคุณสมบัติเป็นฉนวน จึงไม่นำไฟฟ้าแม้ว่าสายไฟฟ้าเปลือยมาสัมผัส ก็ไม่ทำให้ผู้สัมผัสเส้นใยแก้วที่อยู่ห่างออกไปมีอันตรายเนื่องมาจากถูกไฟฟ้าดูดได้
6. ปราศจากสัญญาณรบกวนทางไฟฟ้า
7. ข้อมูลมีความปลอดภัยสูง
8. มีความทนทานสูง

ข้อเสียของเส้นใยแก้วนำแสง

1. เส้นใยแก้วมีความเปราะบาง
2. เส้น OF ไม่สามารถจัดวางให้มีรัศมีการโค้งงอน้อยๆ ได้
3. ในการติดตั้งระบบสายส่ง OF ต้องใช้เครื่องมือและอุปกรณ์พิเศษ


ย้อนกลับ

ความรู้เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์

การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์



    เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการรับ-ส่งเอกสารจากหน่วยงานหนึ่งไปยังอีกหน่วยงานหนึ่งโดยส่งผ่านเครือข่าย เช่น โทรศัพท์ สายเคเบิล ดาวเทียม เป็นต้น แทนการส่งเอกสารโดยพนักงานส่งสารหรือไปรษณีย์ ระบบ EDI จะต้องใช้รูปแบบของเอกสารที่เป็นมาตรฐานเพื่อให้หน่วยงานทางธุรกิจหรือองค์กรต่างๆ สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    สำหรับมาตรฐานของ EDI ในประเทศไทยถูกกำหนดโดยกรมศุลกากร ซึ่งเป็นหน่วยงานแรกที่นำระบบนี้มาใช้งาน คือ มาตรฐาน EDIFACT (Electronic Data Interchange for Administration, Commerce and Transport)

    ตัวอย่างของเอกสารที่นำมาใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลด้วยระบบ EDI เช่น ใบสั่งซื้อสินค้า ใบเสนอราคา ใบกำกับสินค้า ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี เป็นต้น

    บริษัทผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange : EDI) เป็นองค์กรที่ให้บริการ EDI ทางการค้าระหว่างประเทศแก่หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ซึ่งได้ แก่ กรมศุลกากร บริษัทการบินไทย (มหาชน) จำกัด การท่าเรือแห่งประเทศไทย และกรมการค้าต่าง ประเทศ ตลอดจนผู้ใช้ในภาคเอกชน

ประโยชน์ของการใช้ระบบ EDI

1.ลดค่าใช้จ่ายด้านการจัดส่งเอกสาร
2.ลดเวลาทำงานในการป้อนข้อมูล ทำให้ข้อมูลมีความถูกต้อง
และลดข้อผิดพลาดจากการป้อนข้อมูลที่ซ้ำซ้อน
3.เพิ่มความรวดเร็วในการติดต่อสื่อสาร
4.ลดค่าใช้จ่ายและภาระงานด้านเอกสาร
5.แก้ปัญหาอุปสรรคทางภูมิศาสตร์และเวลา


ย้อนกลับ